เปิดประตูสู่การรักษาดวงตายุคใหม่
ด้วยนวัตกรรมล้ำหน้า ปลอดภัย มาตรฐานระดับสากล

ก้าวสู่อนาคตของการรักษาตา
ด้วยเทคโนโลยีทันสมัยและทีมแพทย์มืออาชีพ
ก้าวสู่อนาคตของการรักษาตา
ด้วยเทคโนโลยีทันสมัยและทีมแพทย์มืออาชีพ
เพราะดวงตาเป็นสิ่งสำคัญ
ให้จักษุแพทย์เฉพาะทางดูแลคุณ


ต้อเนื้อ (Pterygium)
โรคลุกลามที่บดบังการมองเห็น หากปล่อยไว้อาจทำให้สายตาปิดถาวร

1 | ความหมายของโรคต้อเนื้อ (What is Pterygium?)
ต้อเนื้อ (Pterygium) คือภาวะที่เนื้อเยื่อของเยื่อบุตาขาว (conjunctiva) มีการเจริญเติบโตผิดปกติ แล้วลุกลามเข้าสู่กระจกตา (cornea) ทำให้เห็นเป็นเนื้อสีชมพูอ่อนหรือขาวขุ่นคล้ายปีกนก (จึงมีชื่อในภาษากรีกว่า pterygos แปลว่า ปีก)
ลักษณะของต้อเนื้อ:
- มักขึ้นที่ หัวตา (ด้านจมูก) และลุกลามเข้าไปที่ตาดำ
- อาจเกิดที่ หางตา ได้เช่นกัน แต่พบได้น้อยกว่า
- ถ้าเนื้อลุกลามมาก จะส่งผลกระทบต่อ การมองเห็น เพราะทำให้กระจกตาเปลี่ยนรูปร่าง
2 | สาเหตุและปัจจัยเสี่ยง (Causes & Risk Factors)
ต้อเนื้อไม่ได้เกิดจากเชื้อโรค แต่เกิดจากการระคายเคืองเรื้อรังที่ดวงตา โดยมีปัจจัยกระตุ้นหลักคือ:
สาเหตุหลัก:
- รังสีอัลตราไวโอเลต (UV-B) จากแสงแดด
- ลม ฝุ่น ควัน และสภาพอากาศที่แห้งหรือร้อน
- การระคายเคืองจาก สารเคมีหรือแสงจ้า เป็นเวลานาน
ปัจจัยเสี่ยง:
- คนที่ทำงานหรือใช้ชีวิตกลางแจ้ง เช่น เกษตรกร ชาวประมง กรรมกร
- ผู้ที่อาศัยในพื้นที่เขตร้อน เช่น ประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
- ไม่ใส่แว่นกันแดดหรืออุปกรณ์ป้องกันดวงตา
3 | อาการของโรค (Symptoms)
ผู้ป่วยต้อเนื้ออาจมีอาการได้หลากหลาย ขึ้นอยู่กับระยะของโรค:
อาการทั่วไป:
- ระคายเคืองตา รู้สึกเหมือนมีฝุ่นหรือสิ่งแปลกปลอมในตา
- ตาแดงเรื้อรัง โดยเฉพาะบริเวณที่มีต้อ
- แสบตา น้ำตาไหล คันตา
อาการเมื่อรุนแรง:
- มองเห็นไม่ชัด หากต้อเนื้อบังแนวแสงเข้าสู่ตาดำ
- สายตาเอียง เพราะกระจกตาเปลี่ยนรูป
- ปวดตา หรือไวต่อแสง
4 | การรักษา (Treatment)
การรักษาแบ่งตามระยะและความรุนแรง:
- ระยะแรก (ไม่ลุกลามมาก):
ใช้ ยาหยอดตา เช่น ยาลดการอักเสบ (Steroid, NSAID) หรือยาหยอดตาเทียม เพื่อบรรเทาอาการระคายเคือง - ระยะลุกลามหรือมีผลต่อการมองเห็น:
การผ่าตัดต้อเนื้อ (Pterygium excision) โดยเฉพาะเมื่อ:
เนื้อเยื่อลุกลามถึงกลางตาดำ มีปัญหาทางสายตาด้านความงามหรือต้องการรักษาเชิงศัลยกรรม
หลังผ่าตัด:
- อาจใช้การ ปลูกเยื่อบุตาขาว (conjunctival autograft) จากตำแหน่งอื่นในดวงตา เพื่อป้องกันไม่ให้ต้อเนื้อกลับมาอีก ใช้ ยาเคมี Mitomycin-C หรือสารยับยั้งการเจริญของเซลล์ เพื่อป้องกันการกลับเป็นซ้ำ
หมายเหตุ: ต้อเนื้อมีโอกาสกลับมาใหม่ได้ แม้หลังการผ่าตัด โดยเฉพาะถ้ายังเผชิญปัจจัยเสี่ยงเดิม
5 | การป้องกัน (Prevention)
วิธีลดความเสี่ยงและชะลอการลุกลาม:
- ใส่ แว่นกันแดด ที่สามารถกันรังสี UV ได้ทุกครั้งที่ออกแดด
- ใช้ หมวกปีกกว้าง ป้องกันแสงแดดและฝุ่น
- หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่ที่มี ฝุ่น ควัน หรือสารระคายเคือง เป็นเวลานาน
- หยุดพักสายตา หากต้องใช้สายตาเป็นเวลานาน
- หยอด น้ำตาเทียม เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น ลดการระคายเคือง
- ตรวจสุขภาพตาเป็นประจำ โดยเฉพาะผู้สูงอายุและผู้ทำงานกลางแจ้ง
6 | การผ่าตัดในโรคต้อเนื้อ (Pterygium Surgery)
เมื่อไรจึงควรผ่าตัด?
การผ่าตัดต้อเนื้อจะพิจารณาในกรณีดังนี้:
- ต้อเนื้อลุกลามเข้าสู่กระจกตา มากจนเริ่มกระทบต่อการมองเห็น
- มีอาการระคายเคืองเรื้อรัง แม้รักษาด้วยยาหยอดแล้วไม่ดีขึ้น
- เหตุผลด้านความงาม เช่น ต้อเนื้อโตเห็นชัดจนทำให้ผู้ป่วยไม่มั่นใจ
- ทำให้สายตาเอียงหรือผิดปกติ เนื่องจากต้อเนื้อเปลี่ยนรูปร่างกระจกตา
วิธีการผ่าตัดต้อเนื้อ (Pterygium Excision)
มีหลายเทคนิคในการผ่าตัด ได้แก่:
1.การตัดต้อเนื้ออย่างเดียว (Bare sclera excision)
- ตัดเอาเนื้อต้อออกโดยไม่ปลูกเนื้อเยื่อปิดบริเวณนั้น
- ข้อเสีย: โอกาสกลับมาเป็นซ้ำ สูงถึง 30-80%
2.การตัดต้อเนื้อร่วมกับการปลูกเยื่อบุตาขาว (Conjunctival autograft)
- ตัดต้อเนื้อออก และนำเยื่อบุตาขาวจากบริเวณอื่นของตาผู้ป่วยเองมาปิด
- วิธีนี้ช่วยลดการกลับเป็นซ้ำได้เหลือเพียง 5-15%
3.การใช้ยา Mitomycin-C ร่วม (MMC adjunct)
- เป็นสารเคมีที่ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์
- ใช้ระหว่างผ่าตัดหรือหลังผ่าตัด ช่วยลดโอกาสกลับมาเป็นซ้ำ
- ต้องใช้อย่างระมัดระวัง เพราะอาจทำให้แผลหายช้า หรือตาแห้งถาวร
การฟื้นตัวหลังผ่าตัด
- พักสายตาประมาณ 1–2 สัปดาห์
- ใช้ ยาหยอดตาฆ่าเชื้อ + สเตียรอยด์ ตามแพทย์สั่ง
- อาจรู้สึกระคายเคืองเล็กน้อยบริเวณแผลผ่าตัด
- ควรหลีกเลี่ยงฝุ่น ลม แสงแดดแรง และอย่าให้ตาโดนน้ำ
ความเสี่ยงของการผ่าตัด
- การกลับมาเป็นซ้ำของต้อเนื้อ โดยเฉพาะถ้าไม่ได้ป้องกัน UV
- ตาแดงเรื้อรัง แผลผ่าตัดหายช้า
- กระจกตาถลอก หรือภาวะแทรกซ้อนจากยา Mitomycin-C (ในบางราย)
ต้อลม (Pinguecula)
โรคจากลมที่ลุกลามทำร้ายดวงตา ต้องรักษาอย่างถูกวิธี

1 | ความหมายต้อลม (Pinguecula)
ต้อลม (Pinguecula) คือการหนาตัวหรือการเจริญเติบโตผิดปกติของเยื่อบุตาขาวบริเวณที่ใกล้กับกระจกตา มักมีลักษณะเป็นตุ่มนูนเล็ก สีขาว-เหลือง คล้ายไขมัน อยู่ด้านหัวตาหรือหางตา
แตกต่างจากต้อเนื้อ ตรงที่ต้อลมจะไม่ลุกลามเข้าไปในกระจกตา แต่ถ้าไม่ได้รับการดูแล อาจพัฒนาไปเป็น ต้อเนื้อได้ในอนาคต
2 | สาเหตุและปัจจัยเสี่ยง (Causes & Risk Factors)
สาเหตุหลักของต้อลม:
- การระคายเคืองเรื้อรังที่ดวงตา เช่น ฝุ่น ลม ควัน
- แสงแดด โดยเฉพาะ รังสี UV
- ภาวะตาแห้งที่ทำให้เยื่อบุตาอักเสบเรื้อรัง
ปัจจัยเสี่ยง:
- การใช้ชีวิตหรือทำงานกลางแจ้ง โดยไม่สวมแว่นกันแดด
- อายุที่มากขึ้น (พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ)
- ผู้ที่อาศัยในสภาพแวดล้อมแห้งและมีแสงแดดแรง เช่น ต่างจังหวัด พื้นที่เขตร้อน
3 | อาการของโรค (Symptoms)
ต้อลมมักไม่มีอาการรุนแรง แต่อาจสร้างความรำคาญหรือลดคุณภาพชีวิตในบางกรณี:
อาการทั่วไป:
- ตาแดงเล็กน้อยบริเวณที่มีต้อลม
- รู้สึกแสบตา คันตา หรือเคืองตาเหมือนมีฝุ่นอยู่
- ตาแห้ง โดยเฉพาะเมื่อโดนลมหรือแสงจ้า
- บางรายอาจมองเห็นตุ่มนูนสีขาว-เหลืองที่หัวตา
- ไม่มีผลต่อการมองเห็น
(ต่างจากต้อเนื้อที่สามารถลุกลามเข้าสู่กระจกตา)
4 | การรักษา (Treatment)
ต้อลมส่วนใหญ่ไม่จำเป็นต้องรักษาแบบรุกล้ำ เน้นบรรเทาอาการและลดการอักเสบ
แนวทางการรักษา:
- หยอด น้ำตาเทียม เพื่อบรรเทาอาการตาแห้งและระคายเคือง
- ใช้ ยาหยอดตาลดการอักเสบ เช่น ยาสเตียรอยด์ในกรณีที่ตาแดงหรือมีอาการมาก
- หลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้น เช่น ฝุ่น ลม แสงแดด
การผ่าตัด:
- ไม่จำเป็น ยกเว้นในกรณีที่เนื้อต้อลมโตมากผิดปกติ หรือมีผลกระทบต่อความงามอย่างชัดเจน
5 | การป้องกัน (Prevention)
การป้องกันต้อลมมีความสำคัญมาก เพราะช่วยลดโอกาสเกิดต้อเนื้อในอนาคตได้ด้วย
วิธีป้องกัน:
- สวม แว่นกันแดดที่ป้องกันรังสี UV ทุกครั้งเมื่อออกนอกบ้าน
- ใช้ หมวกปีกกว้าง ป้องกันแดดและฝุ่น
- หลีกเลี่ยงลมแรง ฝุ่น และควัน โดยเฉพาะผู้ทำงานกลางแจ้ง
- หยอด น้ำตาเทียม หากมีอาการตาแห้งหรือระคายเคืองบ่อย
- พักสายตาเป็นระยะ โดยเฉพาะเมื่อจ้องหน้าจอนาน ๆ
6 | การผ่าตัดต้อลม (Pinguecula Excision)
กรณีที่ควรพิจารณาผ่าตัด
มีปัญหาทางความงาม (Cosmetic concern)
- ต้อลมมีขนาดใหญ่ เห็นชัด เป็นก้อนนูนสีเหลือง-ขาว ที่ทำให้ผู้ป่วยไม่มั่นใจ
- พบได้บ่อยในคนที่มีอาชีพที่ต้องพบปะผู้คนหรืออยู่หน้ากล้อง เช่น ดารา ครู แอร์โฮสเตส
- มีอาการระคายเคืองมาก (Severe discomfort)
- ต้อลมอาจทำให้ระคายเคือง แสบตา คันตาเรื้อรัง ไม่ตอบสนองต่อยาหยอด
- รบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น อ่านหนังสือ ขับรถ จ้องหน้าจอ
- กระทบการใส่คอนแทคเลนส์
- ต้อลมที่โตมากอาจทำให้เลนส์สัมผัสตาไม่สบายหรือเลื่อนง่าย
วิธีการผ่าตัด
เทคนิคการผ่าตัด
- เป็น การผ่าตัดเล็ก (Minor surgery) ใช้เวลาไม่นาน (ประมาณ 20–30 นาที)
- ทำภายใต้ ยาชาเฉพาะที่
ศัลยแพทย์จะทำการ:
- ตัดเอาเนื้อต้อลมออกจากเยื่อบุตาขาว
- ล้างตาและดูแลแผลให้เรียบร้อย
การปลูกเยื่อบุตาขาว
- โดยทั่วไป ไม่จำเป็นต้องปลูกเยื่อบุตาขาว (ต่างจากต้อเนื้อ)
- หากแผลมีขนาดใหญ่หรือเพื่อป้องกันแผลนูน อาจพิจารณาปลูกเยื่อจากตาส่วนอื่นได้ตามดุลยพินิจแพทย์
การฟื้นตัวหลังผ่าตัด
ระยะพักฟื้น:
- อาการปวดหรือระคายเคืองเล็กน้อยใน 1–2 วันแรก
- ตาอาจแดงบริเวณที่ผ่าตัด ประมาณ 1–2 สัปดาห์
การดูแลหลังผ่าตัด:
- หยอดยาฆ่าเชื้อและยาลดการอักเสบ (เช่น ยาหยอดสเตียรอยด์)
- หลีกเลี่ยงฝุ่น ลม และแสงแดดจัดในช่วง 1–2 สัปดาห์แรก
- ห้ามขยี้ตาและระวังไม่ให้แผลโดนน้ำ
ความเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อน
- ตาแดงเรื้อรังบริเวณแผล
- แผลผ่าตัดนูน หรือเกิดพังผืดใต้เยื่อบุตา
- โอกาสกลับมาเป็นซ้ำมีน้อย แต่เกิดได้หากยังมีปัจจัยกระตุ้น เช่น โดนแดดหรือฝุ่นเรื้อรัง
ต้อหิน (Glaucoma)
โรคเงียบที่ทำลายเส้นประสาทตา หากไม่รักษาอาจตาบอดถาวร

1 | ความหมายของโรคต้อหิน (What is Glaucoma?)
ต้อหิน คือโรคที่เกิดจากการที่ ความดันในลูกตาสูง หรือเส้นประสาทตามีความไวต่อความดันผิดปกติ ทำให้เกิด การทำลายเส้นประสาทตาอย่างช้าๆ จน สูญเสียลานสายตา และอาจ ตาบอดถาวร ได้ หากไม่รักษา
- โรคนี้มักไม่มีอาการในระยะแรก ผู้ป่วยมักไม่รู้ตัว
- การตรวจตาเป็นประจำคือกุญแจสำคัญในการป้องกันการตาบอด
2 | สาเหตุและปัจจัยเสี่ยง (Causes & Risk Factors)
สาเหตุ:
ระบบระบายน้ำในตาทำงานผิดปกติ → น้ำในตาสะสม → ความดันลูกตาสูง
ปัจจัยเสี่ยง:
- อายุ > 40 ปี
- มีคนในครอบครัวเป็นต้อหิน
- สายตาสั้นหรือยาวมาก
- โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง
- การใช้ยาสเตียรอยด์เป็นประจำ
- อุบัติเหตุหรือผ่าตัดตามาก่อน
3 | อาการของโรค (Symptoms)
ต้อหินมุมเปิด (Open-angle glaucoma)
- ไม่มีอาการในช่วงแรก
- ลานสายตาด้านข้างหายไปเรื่อยๆ
- อาจไม่รู้ตัวจนสายตากลางเสีย
ต้อหินมุมปิด (Angle-closure glaucoma)
- ปวดตาเฉียบพลัน ตาแดง
- ตาพร่ามัว เห็นแสงรุ้งรอบดวงไฟ
- คลื่นไส้ อาเจียน
- ตาแข็งมากเมื่อลองคลำ
4 | การรักษา (Treatment)
1. ยาหยอดตา
- ลดการสร้างน้ำในลูกตา หรือเพิ่มการระบาย
- ต้องหยอดต่อเนื่องตลอดชีวิต
- เช่น: Latanoprost, Timolol, Brimonidine, Dorzolamide
2. การยิงเลเซอร์
- เลเซอร์เปิดมุมตา (trabeculoplasty) – มุมเปิด
- เลเซอร์เจาะม่านตา (iridotomy) – มุมปิด
5 | การป้องกัน (Prevention)
สิ่งที่ควรทำ
- ตรวจตาโดยจักษุแพทย์ปีละครั้ง (โดยเฉพาะคนอายุ > 40 ปี)
- หากมีคนในครอบครัวเป็นต้อหิน ควรตรวจเร็วกว่าปกติ
- หลีกเลี่ยงการใช้ยาสเตียรอยด์โดยไม่จำเป็น
- รักษาโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูงให้ดี
สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง (กรณีเป็นแล้ว)
- ไม่หยอดยาตามสั่ง
- ขาดการติดตามแพทย์
- ขยี้ตา ก้มต่ำ หรือยกของหนัก
6 | การผ่าตัดรักษา (Surgical Treatments)
ใช้เมื่อยาหยอดหรือเลเซอร์ควบคุมความดันตาไม่ได้ หรือผู้ป่วยมีโรครุนแรง
6.1 Trabeculectomy
- ผ่าตัดเปิดช่องระบายน้ำในตาใต้เยื่อบุตาขาว
- ลดความดันตาได้มากและยาวนาน
- ต้องติดตามภาวะแทรกซ้อน เช่น แผลรั่ว หรือติดเชื้อ
6.2 Glaucoma Drainage Device (GDD)
- ใส่ท่อเล็กๆ ในตาเพื่อนำน้ำออก
- เหมาะกับต้อหินที่รักษายากหรือเคยผ่าตัดล้มเหลว
6.3 MIGS – Minimally Invasive Glaucoma Surgery
- ผ่าตัดแผลเล็ก ฟื้นตัวเร็ว
- เช่น iStent, XEN gel stent
- มักใช้กับผู้ป่วยระยะเริ่มต้นหรือทำร่วมกับผ่าตัดต้อกระจก
6.4 เลเซอร์ทำลายจุดสร้างน้ำ (Cyclophotocoagulation)
- ใช้ในรายที่ต้อหินรุนแรงใกล้ตาบอด
- ยิงเลเซอร์ลดการสร้างน้ำในตา
หลังผ่าตัด:
- หยอดยาป้องกันการอักเสบและติดเชื้อ
- หลีกเลี่ยงขยี้ตา ก้มต่ำ ยกของหนัก
- ติดตามแพทย์ตามนัดอย่างเคร่งครัด
ต้อกระจก (Cataract)
โรคที่ทำให้เลนส์ขุ่นมัว ทำให้มองไม่ชัด แต่รักษาได้ด้วยผ่าตัด

1 | ความหมายของโรคต้อกระจก (What is Cataract?)
ต้อกระจก คือภาวะที่ “เลนส์แก้วตาขุ่นมัว” ซึ่งตามปกติเลนส์ภายในลูกตาจะใส ทำหน้าที่รวมแสงให้เห็นชัด หากเลนส์ขุ่น จะทำให้แสงไม่สามารถผ่านเข้าไปยังจอประสาทตาได้ตามปกติ → เกิดภาวะ “ตามัว”
- พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ และเป็นสาเหตุอันดับ 1 ของการมองเห็นลดลงที่ รักษาได้
2 | สาเหตุและปัจจัยเสี่ยง (Causes & Risk Factors)
สาเหตุที่พบบ่อย:
- อายุ – เลนส์เสื่อมตามธรรมชาติเมื่ออายุมากขึ้น
- แสง UV – การตากแดดเป็นเวลานาน
- ใช้ยาสเตียรอยด์ นาน ๆ
- เบาหวาน ควบคุมไม่ดี
- การกระทบกระเทือนหรือผ่าตัดตา
- กรรมพันธุ์ หรือเกิดตั้งแต่กำเนิด
3 | อาการของโรค (Symptoms)
- ตามัวลงเรื่อย ๆ เหมือนมีหมอกหรือฝ้า
- มองเห็นแสงไฟกระจายตอนกลางคืน
- เห็นภาพซ้อนในตาข้างเดียว
- มองสีผิดเพี้ยน เช่น สีซีดลงหรือเหลืองลง
- ต้องเปลี่ยนแว่นบ่อยขึ้น
- แพ้แสง / มองไม่ชัดในที่สว่างจัด
- อาการเกิดช้าและค่อยเป็นค่อยไป
4 | การรักษา (Treatment)
แพทย์จะตรวจโดย:
- ใช้กล้องตรวจภายในตา (Slit Lamp) ดูความขุ่นของเลนส์
- ทดสอบการมองเห็นและวัดค่าสายตา
- วัดความดันตา
- ตรวจจอประสาทตา (ถ้าเห็นไม่ชัดอาจรอตรวจหลังผ่าตัด)
5 | การป้องกัน (Prevention)
ระยะแรก:
- เปลี่ยนแว่นตามการมองเห็นที่ลดลง
- ปรับแสงสว่าง เพิ่มขนาดตัวหนังสือ
- หลีกเลี่ยงแสงจ้า ใช้แว่นกันแดด
- ไม่มี “ยาหยอด” หรือ “อาหารเสริม” ใดที่รักษาต้อกระจกได้
ระยะที่ต้อกระจกรบกวนการมองเห็น:
- จำเป็นต้องผ่าตัดเปลี่ยนเลนส์แก้วตา เท่านั้น
6 | การผ่าตัดต้อกระจก (Cataract Surgery)
วิธีการ:
ศัลยแพทย์จะใช้ เครื่องสลายเลนส์ด้วยคลื่นเสียง (Phacoemulsification) แล้วใส่ เลนส์แก้วตาเทียม (IOL – Intraocular Lens) เข้าไปแทน ทำด้วยยาชาหยอดตา ใช้เวลาผ่าตัดเพียง 15–30 นาที
ประเภทของเลนส์เทียม:
- เลนส์ระยะเดียว – มองไกลชัด ต้องใส่แว่นอ่านหนังสือ
- เลนส์สองระยะหรือหลายระยะ – ลดการพึ่งแว่นตา
- เลนส์กรองแสงฟ้า – ป้องกันแสง UV, เหมาะกับผู้ใช้คอมฯ มาก
การเตรียมตัวก่อนผ่าตัด:
- ตรวจวัดลูกตาเพื่อเลือกเลนส์ที่เหมาะสม
- ตรวจเลือด, ตรวจจอประสาทตา
- หยุดยาบางชนิดตามคำแนะนำแพทย์
การดูแลหลังผ่าตัด:
- หยอดยาฆ่าเชื้อและลดอักเสบอย่างสม่ำเสมอ 4–6 สัปดาห์
- หลีกเลี่ยงขยี้ตา ล้างหน้าแรง ก้มต่ำ
- มองเห็นจะเริ่มชัดขึ้นภายใน 1–3 วันหลังผ่าตัด
- พบแพทย์ตามนัดเพื่อติดตามแผล
ข้อดี:
- ปลอดภัยสูง >95% มองเห็นดีขึ้นอย่างชัดเจน
- ฟื้นตัวเร็ว ไม่ต้องนอนโรงพยาบาล
ความเสี่ยง (พบน้อยมาก):
- ตาอักเสบ แผลรั่ว เลนส์หลุด
- ต้อหินหรือจอประสาทตาผิดปกติที่อาจยังต้องดูแลต่อ
สัมผัสประสบการณ์ คุณภาพ และบริการเหนือระดับ
พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกที่ทันสมัย